‘iKnife’ ไม่ได้เป็นเพียงมีดผ่าตัดธรรมดาๆ เท่านั้น หากแต่เป็นมีดที่มีความอัจฉริยะเป็นอย่างสูง เนื่องจากมีดเล่มนี้สามารถดมกลิ่นของเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งประสิทธิภาพในระดับนี้จะช่วยทำให้ศัลยแพทย์ตัดชิ้นเนื้อร้ายออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ถ้าศัลยแพทย์ตัดเนื้อร้ายทิ้งมากจนเกินไป ก็อาจทำให้ผู้ป่วยเจ็บตัวมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเขาตัดชิ้นเนื้อน้อยจนเกินไป ก็อาจทำให้เนื้อร้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่เจริญเติบโตและลุกลามขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้ หากแต่ตอนนี้ปัญหานี้กำลังคลี่คลายลงไปเมื่อทีมนักวิจัยได้พัฒนามีดผ่าตัดพิเศษ ซึ่ง ‘ดม’ กลิ่นควัน ซึ่งเกิดจากการจี้ชิ้นเนื้อด้วยความร้อนว่า เนื้อเยื่อในส่วนนี้นั้นเป็นเซลล์มะเร็ง หรือเป็นเซลล์ปกติกันแน่
สำหรับมีดผ่าตัดที่มีความพิเศษชิ้นนี้ ทำงานด้วยการนำไขมันมาเป็นส่วนประกอบ เพราะเคยมีการศึกษามาก่อนแล้วว่า สัดส่วนของกรดไขมันบางชนิดในเซลล์มะเร็งมีความแตกต่างจากเซลล์ปกติ หากแต่การที่จะทำเช่นนั้นได้ ก็จำเป็นต้องตัดเอาชิ้นเนื้อออกมาก่อน หลังจากนั้นก็จะต้องเตรียมชิ้นเนื้อ เพื่อนำไปผ่านเครื่องมือวิเคราะห์มวลของสาร ซึ่งเป็นองค์ประกอบในขั้นตอนสุดท้าย และโครงสร้างก็จะเป็นตัวบอกว่าเนื้อเยื่อชิ้นนั้นเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่
‘Zoltán Takáts’ คือ นักเคมีชาวฮังการีที่เกิดความสงสัยว่า จะพอเป็นไปได้ไหมที่เขาจะพัฒนาวิธีการแบบเดิมๆ ให้ดีขึ้นด้วยการวิเคราะห์ควันซึ่งเกิดจากมีดไฟฟ้าที่ศัลยแพทย์ใช้ผ่าตัดแบบตรงๆ เลย โดยเขาไม่จำเป็นต้องนำชิ้นเนื้อไปตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติม เพราะองค์ประกอบหลักที่อยู่ในควัน ก็คือ โมเลกุลซึ่งมีการแตกเรียบร้อยแล้ว โดยโมเลกุลชนิดนี้เป็นสิ่งเดียวกันกับที่เจอในเครื่องมือวัดมวล และจากความสงสัยนี้ในที่สุดก็ทำให้เขาและ ทีมงานได้รับความสำเร็จ ด้วยการใช้กรดไขมันที่ได้มาจากการดูดเอาควันจากมีดผ่าตัดไฟฟ้า หลังจากนั้นจึงนำไปวัดด้วยเครื่อง ‘Mass spectromter’ ทำให้แบ่งแยกเนื้อเยื่อของสัตว์ในแต่ละประเภทได้ จากจุดนี้นี่เองกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นในการหยิบความคิดนี้มาใช้จริง
ทดลองผ่ามะเร็งถึง 81 ครั้ง
‘iKnife’ ถูกนำมาทดลอง ใช้ในการผ่าตัดมะเร็งจริงๆ ถึง 81 ครั้ง ! ด้วยการใช้ฐานข้อมูลของชิ้นเนื้อจำนวน 3,000 ชิ้น โดย ‘iKnife’ สามารถแยกเนื้อเยื้อร้ายออกจากเนื้อเยื้อปกติได้เกือบทั้งหมด !! ใช้เวลาวิเคราะห์เพียง 1 – 3 วินาทีเท่านั้น ผลลัพธ์ทำให้เหล่านักวิจัยทึ่งมาก เพราะ ‘iKnife’ ช่วยย่นระยะเวลาในการผ่าตัด อีกทั้งยังทำให้ศัลยแพทย์สามารถทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่าเทคโนโลยีอันล้ำสมัยนี้จะช่วยทำให้ชีวิตของผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งดีขึ้นอย่างไรบ้าง